HOME CAFE 1 ชั้น @อ.เมือง จ.อุดรธานี
เจ้าของโครงการ: คุณต้อม & คุณริกกี้
ออกแบบ Architecture : Apiwat Haton
ก่อสร้างโดย: Function Design
รูปงานออกแบบสามมิติที่นำเสนอลูกค้า
วางผังบริเวณที่หน้างาน
ใบตรวจสอบ งานแต่ละประเภท
ขั้นตอนระหว่างดำเนินการติดตั้งเสาเข็มเจอะ
งานฐานรากมั่นใจ ต้องมั่นใจตั้งแต่เสาเข็ม
1.ตรวจสอบเหล็กปลอกและระยะหุ้มคอนกรีตอย่างละเอียด
2.ใช้เสาเข็มเจาะระบบแห้ง (Dry Process) ลดผลกระทบต่อพื้นที่ข้างเคียง
3.ตรวจสอบแนวศูนย์กลางและระดับความลึกของเสาเข็ม
4.วัดค่าสลัฟ (Slump Test) ควบคุมคุณภาพคอนกรีตสดก่อนเท
5.มี Checklist ทุกขั้นตอน พร้อมภาพถ่ายประกอบงานจริง
ภาพชุดนี้คือกระบวนการ เปลี่ยนเสาเข็มที่ซ่อนอยู่ในดิน ให้กลายเป็นฐานรากที่แข็งแรงของบ้านทั้งหลัง
การตัดหัวเสาเข็มจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่รับประกันได้ว่า บ้านจะถ่ายน้ำหนักลงสู่ดินอย่างมั่นคงปลอดภัย
จากภาพจะเห็นว่าใช้แบคโฮขุดดินลงไปจนถึงระดับหัวเสาเข็ม (ภาพที่มีรถแบคโฮ
และภาพที่เห็นหัวเสาเข็มโผล่เป็นแท่งคอนกรีต)
จุดประสงค์คือเพื่อให้เข้าถึงหัวเสาเข็มได้สะดวก และเตรียมพื้นที่สำหรับฐานราก (Footing)
หลังจากขุดเสร็จ เราจะเห็นเสาเข็มคอนกรีตโผล่ขึ้นมา (หลายต้นตามแนวที่ออกแบบไว้)
ช่วงหัวเสาเข็มที่เห็นนี้ มักจะมีดิน น้ำ หรือคอนกรีตที่ไม่สมบูรณ์เจือปนอยู่
ใช้เครื่องสกัดคอนกรีต (เช่น Air Hammer) ค่อย ๆ สกัดหัวเสาเข็มออก
จากภาพบางต้นถูกสกัดแล้ว จะเห็นหิน กรวด และเหล็กเสริม (Rebar) โผล่ออกมา
ตรงนี้คือการ “เปิดหัวใจของเสาเข็ม” เอาส่วนที่ไม่แข็งแรงออกไป
จะเห็นเหล็กเส้นกลมที่โผล่ขึ้นมาเป็นวงกลม (Rebar)
เหล็กนี้คือโครงเสริมแรงของเสาเข็ม ซึ่งจะถูกผูกเชื่อมต่อกับฐานราก
วิศวกรต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเหล็กอยู่ครบ ไม่หักงอ และยึดแน่น
เก็บเศษคอนกรีตและดินรอบ ๆ หัวเสาเข็มออกให้หมด
ผิวหน้าที่สกัดต้องแข็งแรงและสะอาด เพื่อรอเทคอนกรีตฐานรากมาประสานกันอย่างแนบแน่น
หลังจากตัดหัวเสาเข็มเสร็จ ทุกต้นจะอยู่ในระดับที่วิศวกรกำหนด (Cut-off Level)
จากนั้นทีมงานก็จะเริ่มงานผูกเหล็กฐานรากและเตรียมเทคอนกรีตต่อไป
วิศวกรกำลังตรวจเช็ค แบบแปลนฐานรากและตำแหน่งเสาเข็ม/ฐานราก (Pile & Footing Layout)
ตรวจสอบตำแหน่งฐานราก (Footing Position)
ในแบบจะมีจุด F1/C1, F2/C2 ฯลฯ ที่ระบุพิกัดของฐานรากและเสา
วิศวกรจะเช็คว่าตำแหน่งที่ขุดและเสาเข็มที่ตอกจริงตรงตามแบบหรือไม่
เช็คจำนวนและขนาดเสาเข็ม
สัญลักษณ์วงกลมที่เขียนในแบบ และตัวเลขกำกับ (เส้นผ่านศูนย์กลางเป็นเซนติเมตร)
ตรวจสอบการแก้ไข/โน้ตหน้างาน
เห็นว่ามีการขีดวงกลม เช็ค ✔ และเขียนตัวเลขเพิ่ม ซึ่งคือการบันทึกข้อมูลจริงหน้างาน เช่น ระยะวัดจริง, น้ำหนักที่ออกแบบ, หรือการเสริมฐานราก
ควบคุมคุณภาพก่อนเทคอนกรีตฐานราก
ถ้าพบว่ามีเสาเข็มบางต้นเอียง หรือจำนวนไม่ตรงตามแบบ วิศวกรจะพิจารณาเสริมเข็มเพิ่ม หรือปรับขนาดฐานรากให้เหมาะสม
ภาพนี้คือ ลูกปูน (Concrete Spacer) ที่ใช้ในงานก่อสร้างครับ
🔎 หน้าที่ของลูกปูน
ใช้รองเหล็กเสริม เพื่อกำหนด ระยะหุ้มคอนกรีต (Concrete Cover) ให้ได้ตามแบบ
ช่วยป้องกันไม่ให้เหล็กเสริมสัมผัสดินหรืออากาศโดยตรง ลดปัญหาการเกิดสนิม
ทำให้เหล็กเสริมอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและมั่นคง เวลาที่เทคอนกรีต
📸 อธิบายภาพ
ในภาพคือ แม่พิมพ์ลูกปูนสำเร็จรูป หล่อเป็นแท่งเล็ก ๆ มีเหล็กลวดโผล่ขึ้นมา ใช้ผูกกับเหล็กเสริมก่อนการเทคอนกรีต เพื่อให้เหล็กอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องตลอดการทำงานครับ
คนงานทำการผูกเหล็กเสริมเป็นตะแกรง (Rebar Cage) แล้ววางลงในหลุมฐานราก
ด้านข้างใช้ไม้แบบเหล็ก (Formwork) ประกอบเป็นกล่องเพื่อกำหนดรูปร่างฐานราก
จุดนี้สำคัญเพราะเหล็กเสริมช่วยให้คอนกรีตรับแรงดึงได้ ส่วนแบบหล่อช่วยให้คอนกรีตรับแรงอัดในรูปทรงที่ถูกต้อง
รถปูน (Concrete Mixer Truck) จ่ายคอนกรีตลงไปในหลุมผ่านท่อลำเลียงหรือราง (ภาพที่เห็นรางสีฟ้าและปูนกำลังไหล)
คนงานจะคอยเกลี่ยคอนกรีตให้กระจายทั่วถึง ไม่ให้เกิดโพรงอากาศ
จะเห็นในภาพมีการใช้ เครื่องสั่นเข็ม (Vibrator) จุ่มลงในคอนกรีต
จุดประสงค์คือเพื่อไล่อากาศออก ทำให้เนื้อปูนแน่น เพิ่มความแข็งแรง ลดโอกาสเกิดโพรงรังผึ้ง (Honeycomb)
เหล็กเสาที่ต่อขึ้นจากฐานรากต้องตั้งตรงในตำแหน่งที่ถูกต้อง เพื่อเตรียมรับน้ำหนักโครงสร้างด้านบน
วิศวกรและคนงานจะคอยเช็คแนวดิ่งด้วยลูกดิ่งหรือระดับน้ำ
เมื่อคอนกรีตเริ่มเซ็ตตัว จะเห็นเป็นแผ่นเรียบ ๆ ที่ปิดหัวเสาเข็มและยึดเหล็กเสาไว้
นี่คือจุดที่โครงสร้างบ้านเริ่ม “มีรากฐาน” ที่เชื่อมต่อระหว่างเสาเข็มในดินและเสาตัวบ้านด้านบน
การบ่มคอนกรีต (Concrete Curing)
เพิ่มกำลังอัด (Compressive Strength)
คอนกรีตต้องการความชื้นอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ปฏิกิริยาไฮเดรชัน (Hydration) ของปูนซีเมนต์ดำเนินไปเต็มที่
ถ้าไม่บ่ม น้ำในคอนกรีตระเหยเร็วเกินไป กำลังอัดจะไม่ถึงค่าที่ออกแบบ ทำให้โครงสร้างอ่อนแรงและเสี่ยงต่อการแตกร้าว
ลดการแตกร้าว (Cracking)
คอนกรีตที่แห้งเร็วเกินไปจะหดตัว (Shrinkage) จนเกิดรอยร้าว
การบ่มช่วยควบคุมความชื้น ลดการแตกร้าวในระยะต้น ซึ่งสำคัญมากกับฐานรากที่ต้องรับน้ำหนักต่อเนื่อง
เพิ่มความทนทาน (Durability)
คอนกรีตที่บ่มดี จะมีเนื้อแน่นและทนต่อสภาพแวดล้อม เช่น ความชื้นในดิน น้ำใต้ดิน และสารเคมีต่าง ๆ
ลดความเสี่ยงการซึมผ่านของน้ำที่จะทำให้เหล็กเสริมภายในเกิดสนิม
ควบคุมอุณหภูมิและความชื้น
โดยเฉพาะในช่วง 7 วันแรก คอนกรีตไวต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและการสูญเสียน้ำ
ถ้าอากาศร้อนและแห้ง คอนกรีตจะเสียความชื้นเร็วมาก จึงต้องบ่มด้วยน้ำหรือวัสดุปิดคลุม
ยืดอายุการใช้งานโครงสร้าง
คอนกรีตที่ผ่านการบ่มอย่างถูกวิธีจะได้ความแข็งแรงเต็มที่ และมีอายุการใช้งานยาวนาน ลดปัญหาซ่อมบำรุงในอนาคต
ขั้นตอนการเข้าแบบเตรียมเทตอม่อ
เคลียร์ฐานราก
ปั๊มน้ำ/โกยเลนบนหัวฐานให้สะอาด แห้งพอประมาณ
ขัดผิวหัวฐานให้หยาบ–สะอาด (ปัดฝุ่น โคลน เศษปูน) เพื่อยึดเกาะกับคอนกรีตตอม่อ
ตรวจเหล็กเสริม
เช็กระยะต่อทาบ/แนวตั้งฉากของเหล็กหลักและปลอก (ช่วง 2–3 ปลอกแรกเหนือหัวฐานให้ถี่กว่าปกติ กันรอยร้าวเฉือน)
มัดลวดให้แน่น ไม่ให้ปลายลวดทิ่มแบบ
ใส่ “ลูกปูนคอนกรีต” (Concrete spacers)
ผูกลูกปูนรอบกรงเหล็กให้ครบทุกมุม/ทุกด้าน เพื่อคุม Cover ให้สม่ำเสมอ
ค่าทั่วไป: ส่วนใต้ดินใช้ ~40 มม., เหนือดิน ~25–30 มม. (ยึดตามแบบโครงสร้างเป็นหลัก)
ตั้งศูนย์ตอม่อ
ดึงเชือกแนวจากผังอาคาร ตัดกันบนหัวฐาน → ทำเครื่องหมาย “กึ่งกลางตอม่อ”
ใช้ตลับเมตรวัดระยะร่นจากขอบหัวฐานให้ได้หน้าตัดตามแบบ (เช่น 25×25, 30×30 ซม.)
เตรียมแบบหล่อ
ทำความสะอาดแผงแบบเหล็ก/ไม้ อุดรู–รอยต่อที่เสี่ยง “น้ำปูนรั่ว” (เทปผ้า โฟมเส้น/ซิลิโคน)
ทา น้ำยาถอดแบบ ให้ครบทุกชิ้นด้านที่สัมผัสคอนกรีต
ประกอบแบบเข้าที่
ยกประกอบแผงแบบทีละด้านให้อยู่กลางศูนย์ที่ตั้งไว้ ขันน็อต–สลักให้ครบ
ใส่ค้ำยัน/สตัดล็อก 4 ทิศ ให้แบบ “ไม่บิด–ไม่บวม” ตอนสั่นคอนกรีต
จัดระดับ–ดิ่ง
ใช้ลูกดิ่ง/เลเซอร์/ระดับน้ำ ตรวจ ดิ่ง ของแบบ และ ระดับท็อปตอม่อ ให้ได้ตามแบบ
ชิมด้วยแผ่นไม้/เหล็กแผ่นบางที่ฐานแบบเพื่อเก็บระดับละเอียด
กันน้ำ–สิ่งสกปรกเข้ารูปแบบ
ปิดฝา/ปากแบบด้านล่างให้แน่น ไม่ให้น้ำเลนไหลเข้า
รื้อเศษใบไม้–ดินที่ตกค้างในแบบ (ดูจากภาพในแบบยังสะอาดดี)
ตรวจความพร้อมก่อนเท
จุดตรวจหลัก: ขนาดหน้าตัด, ศูนย์/แนว, ระยะ Cover, ความแน่นของน็อต–ค้ำยัน, ความสะอาดในแบบ, ทางเดินสั่นเข็ม
ที่รอยต่อ หัวฐาน–ตอม่อ ให้ราด “สเลอรี่ปูนซีเมนต์” บาง ๆ ทันทีหน้าจะเท เพื่อเพิ่มการยึดเกาะ
เตรียมเข็มสั่น, ไม้กระทุ้ง, ทางเท และช่องระบายอากาศด้านบน
เมื่อทุกอย่างผ่านเช็กลิสต์นี้แล้ว จึงเริ่ม เทเป็นชั้น ๆ (Lift 30–40 ซม.) พร้อมสั่นเข็มทุกชั้น จนเต็มแบบ แล้วเก็บหัวตอม่อตามระดับ
ความสำคัญของการเข้าแบบตอม่อ คือ ควบคุมขนาด รูปทรง และแนวดิ่งของตอม่อให้ได้ตามแบบ
พร้อมทั้ง รักษาระยะ Cover เหล็กเสริม ป้องกันน้ำปูนรั่ว และช่วยให้คอนกรีตอัดแน่นแข็งแรง
ซึ่งทั้งหมดนี้มีผลโดยตรงต่อ ความมั่นคง แข็งแรง และอายุการใช้งานของโครงสร้าง
อัพเดทเมื่อวันที่ 20.08.2568
การบ่มคอนกรีตหลังจากถอดแบบหล่อปูน เป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้คอนกรีตพัฒนากำลังอัดได้เต็มที่และลดการแตกร้าว โดยหลักการคือการ รักษาความชื้นและอุณหภูมิ ของคอนกรีตให้เหมาะสมต่อเนื่องในช่วงเวลาที่กำลังแข็งตัว
ขั้นตอนที่ใช้บ่อยในงานหน้างาน (ตามภาพ):
รดน้ำบ่มคอนกรีต – รักษาความชื้นที่ผิวคอนกรีตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 7 วันแรก (หากเป็นคอนกรีตกำลังสูงควร 14 วัน)
ใช้วัสดุปิดคลุม – เช่น กระสอบป่านผชุบน้ำ พลาสติก หรือแผ่นกันแดด เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำเร็วเกินไป
การแช่น้ำ (หากทำได้) – กรณีฐานรากหรืองานที่อยู่ในบ่อ สามารถปล่อยให้น้ำท่วมขังระดับต่ำ ๆ เพื่อช่วยให้คอนกรีตชุ่มชื้นตลอดเวลา
ป้องกันความร้อนและลมแรง – เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้คอนกรีตแห้งเร็วและแตกร้าว
👉 สรุป: การบ่มคอนกรีตหลังถอดแบบคือการรักษาความชื้นอย่างต่อเนื่องเพื่อให้คอนกรีตพัฒนากำลังได้เต็มที่ แข็งแรง ทนทาน และลดโอกาสแตกร้าวจากการหดตัวของปูน
การ ถมดินกลับหลังวางฐานรากและเสาเข็ม เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้โครงสร้างมีความมั่นคงและป้องกันปัญหาดินทรุด โดยหลักการทำงานมีดังนี้ครับ:
ตรวจสอบโครงสร้างฐานรากและเสา
ต้องมั่นใจว่าคอนกรีตฐานรากแข็งแรงเพียงพอ ผ่านระยะเวลาบ่มแล้ว และไม่มีการแตกร้าว
เตรียมพื้นที่และระบายน้ำ
สูบน้ำหรือระบายน้ำที่ค้างในหลุมออก เพื่อป้องกันไม่ให้ดินใหม่ชุ่มน้ำเกินไปซึ่งจะทำให้ยุบตัวง่าย
ถมดินกลับเป็นชั้น ๆ
นำดินเดิมหรือดินใหม่ที่เหมาะสม (ดินลูกรัง/ดินถม) ลงในหลุมรอบ ๆ ฐานราก
ถมทีละชั้น หนาประมาณ 20–30 ซม. ต่อครั้ง
บดอัดให้แน่นทุกชั้น
ใช้เครื่องตบกระโดด หรือรถบดสั่นสะเทือน เพื่อเพิ่มความแน่น ลดช่องว่างของดิน ป้องกันการทรุดตัวภายหลัง
ตรวจสอบระดับดิน
เมื่อถมถึงระดับพื้นดินเดิมหรือระดับตามแบบแล้ว ต้องเกลี่ยให้เรียบ และตรวจสอบแนวระดับก่อนทำงานโครงสร้างต่อไป
👉 สรุป: การถมดินกลับไม่ใช่แค่การกลบดิน แต่ต้องถมทีละชั้นและบดอัดทุกครั้ง เพื่อให้ฐานรากมั่นคงและลดปัญหาการทรุดตัวของบ้านในอนาคต
ขั้นตอน การเทลีน (Lean Concrete) ก่อนที่จะวางโครงเหล็กคาน มีความสำคัญดังนี้ครับ:
ปรับระดับพื้นดิน – การเทลีนช่วยทำให้พื้นดินใต้ฐานรากและแนวคานมีผิวที่เรียบเสมอกัน ลดการทรุดตัวหรือการกดทับไม่สม่ำเสมอของคอนกรีตโครงสร้าง.
ป้องกันการสูญเสียน้ำปูน – เมื่อมีการเทคอนกรีตโครงสร้างจริง น้ำปูนจะไม่ซึมลงดินโดยตรง ทำให้คอนกรีตเซตตัวและได้กำลังอัดตามมาตรฐาน.
เป็นชั้นรองรับการทำงาน – ทำให้ช่างสามารถจัดวางเหล็กเสริมคานและวางแบบฟอร์มเวิร์กได้สะดวกและแม่นยำ.
ป้องกันความชื้นจากดิน – ลดการดูดซึมความชื้นจากดินขึ้นมาสู่โครงสร้างหลัก.
ช่วยยืดอายุโครงสร้าง – เนื่องจากโครงสร้างหลักจะมีการแยกชั้นจากดินโดยตรง ทำให้โครงสร้างมีความคงทนมากขึ้น.
พูดง่าย ๆ คือ การเทลีนเปรียบเสมือนการปูรองพื้นให้มั่นคง สะอาด และพร้อมสำหรับการวางเหล็กคานและเทคอนกรีตโครงสร้างจริง ครับ ✅
การ มาร์คจุดเบอร์คาน บนคอนกรีตตามภาพ เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนการผูกเหล็กคาน โดยมีรายละเอียดดังนี้ครับ:
การอ้างอิงตำแหน่ง
ใช้เส้นเอ็นและแบบก่อสร้างเป็นตัวกำหนดตำแหน่งแนวคาน แล้วมาร์คจุดด้วยสีสเปรย์หรือชอล์กไลน์ เพื่อให้รู้แน่ชัดว่าคานแต่ละเส้นอยู่ตำแหน่งใด
ระบุหมายเลขคาน (Beam Number)
พ่นตัวอักษร/ตัวเลข เช่น GB1, GB2, GB3 ลงบนลีนหรือฐานราก เพื่อระบุว่าตำแหน่งนั้นเป็นคานหมายเลขใด ตรงกับแบบโครงสร้าง
ป้องกันความผิดพลาด
การมาร์คช่วยให้ช่างเหล็กทราบชัดเจนว่าต้องผูกเหล็กตามแบบไหน ขนาดเหล็กอะไร ระยะวางเหล็กเท่าไร ลดความผิดพลาดในการวางคานผิดตำแหน่ง
ขั้นตอนต่อไป
เมื่อมาร์คครบแล้ว ช่างจะเริ่ม ผูกเหล็กคานตามเบอร์ที่ระบุ โดยอ้างอิงกับแบบโครงสร้างที่วิศวกรออกแบบไว้ ก่อนจะตั้งไม้แบบและเตรียมงานเทคอนกรีต
👉 สรุป: การมาร์คเบอร์คานคือการ “ระบุตำแหน่งและหมายเลขคานบนโครงสร้างจริง” เพื่อใช้เป็นแนวทางในการผูกเหล็กและควบคุมงานก่อสร้างให้ตรงตามแบบครับ
อัพเดทเมื่อวันที่ 26.08.2568
อ่านแบบ–ทำสัญลักษณ์หน้างาน
ตรวจแบบโครงสร้าง/ตารางเหล็ก ระยะทาบ ระยะหุ้ม และแนวคานจริงจากการตีผัง
เตรียมฐานรอง/ลีนคอนกรีต
ทำพื้นสะอาดได้ระดับสำหรับตั้งเหล็กและค้ำยัน ลดดินปนเปื้อนเข้าในคอนกรีต
ตั้งแบบและระนาบคาน
จัดแนว–ระดับด้วยกล้อง ให้ขนาดในแบบได้จริง และล็อกแบบไม่บิดตัว
วางเหล็กหลักชั้นล่าง + ลูกปูน/แผงรอง
คุมระยะหุ้มคอนกรีตให้ตรงแบบ (เช่น 4–5 ซม. หรือเท่าที่วิศวกรกำหนด) ด้วยลูกปูน/ตัวค้ำเหล็ก
ใส่ปลอกคาน (Stirrups) ตามระยะ
ระยะถี่บริเวณหัว–ปลายคานและรอบเสา/ผนังรับแรงเฉือน ผูกด้วยลวดและหันทิศตะเข็บเดียวกัน
วางเหล็กหลักชั้นบน/เหล็กเสริมพิเศษ
ใส่เหล็กงอ/เหล็กเสริมมุม/เหล็กรับช่องเปิดตามแบบ และจัดระยะทับซ้อน (Lap splice) ให้ครบ
ต่อเชื่อมเข้ากับเสา/ฐานราก
ผูกเข้ากับเหล็กเสา/เหล็กเจาะเสียบ หรือคัปเลอร์ ให้เกิดความต่อเนื่องของกำลัง
ตรวจงานระบบ (ท่อ–Sleeve)
วางท่อสุขาภิบาล/ไฟฟ้าให้พ้นคาน ยึดไม่ให้ลอย หรือชนเหล็กโครงสร้าง
ทำความสะอาดก่อนเท
สูบน้ำ–ขัดโคลน–เก็บเศษลวด/ไม้แบบ ตรวจความแข็งแรงของค้ำยันและระดับอีกครั้ง
ตรวจรับ (ITP) และบันทึกภาพ
วิศวกรเซ็นตรวจรายการ: เหล็ก–ระยะหุ้ม–ระยะทาบ–ปลอก–ระบบ ก่อนอนุมัติเทคอนกรีต
ถ่ายแรงและยึดโยงฐานราก ลดการทรุดตัวต่างระดับ
เป็นกรอบรับผนัง/พื้น ช่วยควบคุมร้าวจากการยืดหดตัว
เพิ่มความแข็งแกร่งให้ทั้งอาคาร เมื่อเชื่อมต่อกับเสา–ฐานอย่างถูกต้อง
จุดสำคัญที่ต้องสังเกตหน้างาน (Checklist)
✅ ขนาด/จำนวนเหล็กตรงแบบ (เส้นหลัก–ปลอก–เหล็กงอ/เสริมมุม)
✅ ระยะหุ้มคอนกรีต รักษาด้วยลูกปูน/แผงรองครบทุกด้าน
✅ ระยะปลอกคาน โดยเฉพาะช่วงใกล้เสา/หัวคานต้องถี่ตามแบบ
✅ ระยะทาบ/ทิศทางงอเหล็ก ทาบยาวพอ และ “สลับจุดทาบ” ไม่รวมกองเดียว
✅ ความสะอาดเหล็ก ไม่มีดิน/คราบน้ำมัน สนิมหนา หรือสเกลหลุดร่อน
✅ ผูกลวดแน่น–ตะเข็บปลอกหันทิศเดียว ปลายลวดพับเข้าใน ไม่ชี้ออกด้านแบบ
✅ คุมแนว–ระดับคาน ด้วยกล้องสำรวจ ก่อนอนุมัติเท
✅ ท่อระบบยึดแน่น ไม่ชนเหล็กและไม่ขวางทางไหลคอนกรีต
✅ น้ำขังในคาน/ฐาน ต้องสูบออกก่อนเทเสมอ
✅ บันทึกภาพ–เช็กใบตรวจ (ITP/Checklist) ก่อนเทคอนกรีตทุกครั้ง
เตรียมพื้นที่และระดับ – ตรวจสอบตำแหน่งคานพื้นจากการตีผัง วัดระยะและปรับระดับดินให้ตรงตามแบบ
ติดตั้งไม้/เหล็กแบบคาน – ใช้ไม้แบบหรือเหล็กแบบที่แข็งแรง รองรับแรงดันคอนกรีตได้ โดยยึดด้วยเสา ค้ำยัน และสตัด (Strut) ไม่ให้บิดตัว
ตรวจเช็กแนวและระดับ – ใช้กล้องหรือสายเอ็นในการควบคุมให้ได้แนวตรง ระดับบนคานต้องได้ตามแบบ เพื่อไม่ให้พื้นอาคารเบี้ยว
เสริมค้ำยันใต้แบบ – เพิ่มไม้ค้ำยันเพื่อรับแรงดันด้านข้าง ลดการรั่วซึมและการโก่งตัวของแบบ
ตรวจสอบการเชื่อมต่อแบบ – ทุกจุดต้องปิดสนิท ไม่ให้เกิดรอยรั่วขณะเทคอนกรีต
ตรวจรับร่วมกับวิศวกร – ก่อนเทคอนกรีต ต้องมีการตรวจสอบ “แบบ – เหล็กเสริม – ระบบท่อ” ให้ครบถ้วน
กำหนดรูปทรงและขนาดของคาน ให้ตรงตามแบบวิศวกรรม
ควบคุมคุณภาพผิวคอนกรีต ไม่ให้รั่วไหลหรือแตกร้าว
รับแรงดันคอนกรีตขณะเท ช่วยให้คานมีความแข็งแรงเต็มประสิทธิภาพ
เป็นกรอบให้เหล็กเสริมอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เพื่อให้โครงสร้างทำงานได้เต็มกำลัง''
✅ ไม้แบบต้องแข็งแรงและสะอาด – ไม่มีเศษดิน โคลน หรือรอยแตก
✅ ระยะค้ำยันถี่พอ – ลดการโก่งตัวของแบบเมื่อเทคอนกรีต
✅ การต่อรอยแบบแน่นหนา – ใช้ลวด/น็อตรัด ป้องกันการรั่วซึม
✅ ตรวจแนวระดับก่อนอนุมัติเท – ระดับบนคานต้องได้มาตรฐาน
✅ ระบบท่อ–Sleeve ยึดแน่น – ไม่ขยับหรือหลุดระหว่างเท
ตรวจสอบแบบและเหล็กเสริม
ช่างและวิศวกรตรวจสอบตำแหน่งเหล็กเสริม คาน เสา ท่อสาธารณูปโภค ว่าตรงตามแบบโครงสร้าง
จุดต่อระหว่างคานและเสาต้องผูกเหล็กแน่น เพื่อให้รับแรงร่วมกันได้เต็มประสิทธิภาพ
ทดสอบคอนกรีตก่อนเท (Slump Test)
ตรวจสอบค่าความข้นเหลว (Slump) ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (5–10 cm) เพื่อให้คอนกรีตไหลตัวดีและแข็งแรงหลังเซ็ตตัว
มีใบกำกับคุณภาพ (Concrete Ticket) จากโรงงานเพื่อยืนยันมาตรฐาน
ความสำคัญของใบจ่ายสินค้าคอนกรีต
ยืนยันมาตรฐานคุณภาพ – มีข้อมูลชัดเจนว่าคอนกรีตที่นำมาใช้เป็นไปตามกำลังอัดที่ออกแบบ
ตรวจสอบย้อนกลับได้ – สามารถตรวจสอบโรงงานผู้ผลิต วันเวลา และสเปคคอนกรีตได้
เอกสารควบคุมงานก่อสร้าง – ใช้เป็นหลักฐานในระบบ QA/QC เพื่อความโปร่งใสและรับประกันคุณภาพงาน
ใบจ่ายสินค้าคอนกรีต (Concrete Delivery Note / Issue Slip)
จากบริษัท ทีพีไอ คอนกรีต จำกัด (TPI Concrete Co., Ltd.)
ซึ่งเป็นเอกสารยืนยันคุณภาพคอนกรีตที่ถูกส่งมาใช้งานหน้างานจริง โดยในเอกสารมีรายละเอียดสำคัญดังนี้ครับ
ชนิดคอนกรีต : 240 CUBE / 210 CYL
👉 หมายถึงคอนกรีตที่ออกแบบกำลังอัด 240 กก./ตร.ซม. (cube test) หรือ 210 กก./ตร.ซม. (cylinder test)
ค่าการยุบตัว (Slump) : 5.0 – 10.0 cm
👉 แสดงถึงความเหลว–หนืดของคอนกรีต เหมาะสมต่อการเทคานพื้นและใช้งานโครงสร้างทั่วไป
วันที่ผลิตและส่ง : 04/09/2025 เวลา 09:00 น.
ปริมาณคอนกรีต : 4.50 ลบ.ม.
ผู้รับสินค้า / รับผิดชอบ : ลงชื่อไว้เพื่อยืนยันการตรวจรับ
การเทคอนกรีต
เทคอนกรีตลงแบบคานพื้นอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดกลางคัน
ใช้เครื่องสั่นคอนกรีต (Vibrator) ไล่ฟองอากาศ ป้องกันโพรง และทำให้คอนกรีตแน่นเต็มพื้นที่
ปรับระดับและเก็บผิวหน้า
ขัดและปรับผิวหน้าให้เรียบเสมอ เพื่อความสวยงามและเป็นฐานสำหรับงานก่อสร้างชั้นถัดไป
ดูแลไม่ให้มีน้ำขังหรือเศษวัสดุปนเปื้อน
การบ่มคอนกรีต (Curing)
รักษาความชื้นต่อเนื่อง 7–14 วัน เพื่อให้คอนกรีตพัฒนากำลังอัดเต็มประสิทธิภาพ
ป้องกันการแตกร้าวในระยะเริ่มต้น
เป็น รากฐานแนวนอน ที่ช่วยกระจายน้ำหนักจากเสาและผนังสู่ฐานราก
ทำหน้าที่ ล็อกโครงสร้างอาคาร ให้เป็นหนึ่งเดียว แข็งแรงและทนทาน
หากทำอย่างถูกต้อง จะช่วยลดปัญหาการแตกร้าวและทรุดตัวในอนาคต
อัพเดทเมื่อวันที่ 04.09.2568
วางแนวท่อรอบคานคอดิน
ท่อพีอี (PE Pipe) หรือพีวีซี (PVC) ถูกติดตั้งรอบแนวคานคอดินของตัวบ้าน
ท่อจะถูกเจาะรูเล็ก ๆ ที่ระยะห่างตามมาตรฐาน เพื่อให้สารเคมีกระจายได้ทั่วถึงใต้บ้าน
ยึดท่อกับคานด้วยตัวยึด
เพื่อให้ท่ออยู่ในตำแหน่งที่แน่น ไม่เคลื่อนหรือถูกดันขึ้นตอนกลบหรือเทพื้น
มักใช้ตัวหนีบหรือสแตนเลสยึดติดกับผิวคอนกรีต
หัวท่อและจุดเติมน้ำยา
จะมีการทำท่อโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน หรือบริเวณที่สะดวกต่อการเติมสารเคมีในอนาคต
จุดนี้มักจะมีฝาครอบปิดมิดชิด เพื่อความปลอดภัยและความสวยงาม
การกลบและทดสอบระบบ
ก่อนเทพื้นต้องตรวจสอบว่าท่อไม่รั่ว ไม่อุดตัน และอยู่ครบตามแนวที่กำหนด
จากนั้นจึงกลบหรือเทพื้นทับได้
ความสำคัญ
การวางท่อกำจัดปลวกตั้งแต่ตอนก่อสร้าง ช่วยให้ บ้านมีระบบป้องกันปลวกถาวร โดยไม่ต้องเจาะพื้นบ้านภายหลัง
ประหยัดค่าใช้จ่ายและลดความเสียหายกับโครงสร้างบ้านในอนาคต
เป็นมาตรฐานสำคัญในงานก่อสร้างยุคใหม่ โดยเฉพาะบ้านพักอาศัยที่ใช้โครงสร้างคอนกรีต
“งานเทพื้นคอนกรีต เริ่มจากเตรียมแบบหล่อ ผูกเหล็กเสริม เทคอนกรีต ปรับระดับ และบ่มน้ำ เป็นขั้นตอนที่ต้องทำต่อเนื่องและใส่ใจทุกรายละเอียด เพื่อให้ได้พื้นบ้านที่แข็งแรงและใช้งานได้ยาวนานครับ”
การเทพื้นคอนกรีตที่ได้มาตรฐาน คือหัวใจสำคัญของงานโครงสร้าง เพราะเป็นฐานรองรับการใช้งานทุกวัน
การเทพื้นคอนกรีต
เตรียมพื้นที่และแบบหล่อ
ก่อนเทพื้น จะต้องทำแบบหล่อ (ไม้แบบ) รอบพื้นที่ให้ได้ขนาดและระดับตามแบบ
ตรวจสอบระบบท่อประปา–ไฟฟ้า–กำจัดปลวก วางครบก่อนปิดงาน
การผูกเหล็กเสริม
วางและผูกตะแกรงเหล็กเสริม (Wire Mesh หรือเหล็ก DB) เพื่อช่วยกระจายแรง ลดการแตกร้าวของพื้นคอนกรีต
ตรวจสอบระยะหุ้มคอนกรีตให้ได้มาตรฐาน
การเทคอนกรีต
ใช้รถปูนผสมสำเร็จ (Ready-Mix Concrete) เทลงบนพื้นที่
เทคอนกรีตให้ต่อเนื่อง ไม่หยุดกลางคัน เพื่อป้องกันการเกิด Cold Joint (รอยต่อที่ไม่ประสาน)
การปรับระดับและเกลี่ยผิว
ใช้เครื่องมือหรือเกรียงยาวปรับระดับคอนกรีตให้เรียบเสมอ
ตรวจสอบความลาดเอียงให้เหมาะสม เช่น พื้นห้องน้ำควรมี slope สำหรับระบายน้ำ
การบ่มคอนกรีต (Curing)
หลังเทพื้นแล้วต้องบ่มน้ำ เพื่อให้คอนกรีตเซตตัวสมบูรณ์ แข็งแรง และลดการแตกร้าว
โดยทั่วไปบ่มน้ำอย่างน้อย 7 วัน
“งานเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก เริ่มจากตั้งแบบ เทคอนกรีต บ่มน้ำ และถอดแบบ เสาที่ได้จะเป็นโครงสร้างหลักของบ้าน ที่รับน้ำหนักและทำให้อาคารแข็งแรง มั่นคง ปลอดภัยในระยะยาว”
การติดตั้งแบบหล่อเสา (Formwork)
ใช้แบบเหล็กหรือแบบไม้ มาประกอบเข้ากับโครงสร้างฐานราก เพื่อกำหนดรูปทรง ขนาด และแนวเสาให้ได้มาตรฐาน
ต้องตรวจสอบแนวดิ่งด้วยลูกดิ่งหรือเครื่องมือวัด เพื่อให้เสาตรง ไม่เอียง
การเทคอนกรีตลงในแบบเสา
ใช้รถคอนกรีตผสมเสร็จ (Ready-Mix Concrete) เทลงในแบบเสา
ระหว่างเท ต้องใช้เครื่องจี้คอนกรีต (Concrete Vibrator) เพื่อไล่ฟองอากาศ และให้คอนกรีตแน่นเต็มพื้นที่
การบ่มคอนกรีต (Curing)
หลังเทเสาแล้ว ต้องมีการรดน้ำบ่มคอนกรีตอย่างต่อเนื่อง 7–14 วัน เพื่อป้องกันการแตกร้าว และช่วยให้คอนกรีตแข็งแรงเต็มที่
จากภาพ คนงานกำลังใช้น้ำรดเสาเพื่อบ่มคอนกรีต
การถอดแบบเสา
เมื่อคอนกรีตได้กำลังอัดที่เพียงพอ (โดยทั่วไปไม่น้อยกว่า 3–7 วันขึ้นไป) จึงสามารถถอดแบบออกได้
จะได้เสาคอนกรีตเสริมเหล็กที่ตรง แข็งแรง และพร้อมรองรับโครงสร้างชั้นต่อไป
" เสาคือโครงหลัก ของบ้านและอาคาร ทำหน้าที่รับน้ำหนักจากคาน พื้น หลังคา แล้วถ่ายลงสู่ฐานราก
หากงานเสาไม่ได้คุณภาพ จะกระทบต่อความมั่นคงของทั้งอาคาร
การควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน จึงเป็นหัวใจสำคัญของงานโครงสร้าง "
อัพเดทเมื่อวันที่ 17.09.2568
งานติดตั้งโครงหลังคาสำเร็จรูปแบบนี้มีข้อดีคือ รวดเร็ว น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย แข็งแรง และได้มาตรฐาน เพราะผ่านการคำนวณและตัดชิ้นส่วนมาจากโรงงาน ทำให้หน้างานเหลือเพียงการประกอบติดตั้งเท่านั้น
เสาคอนกรีตถูกหล่อขึ้นมาก่อน และมีการพันพลาสติกกันเปื้อนหรือกันรอยไว้
ส่วนหัวเสามีการเสริม เพลทเหล็ก (Base Plate / Cap Plate) เชื่อมติด เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อกับโครงหลังคา
เพลทเหล็กนี้ช่วยกระจายน้ำหนักและยึดโครงหลังคาให้แน่นหนา
โครงหลังคาถูกผลิตเป็นชิ้น ๆ มาจากโรงงาน (Truss) ตามขนาดและองศาที่คำนวณไว้แล้ว
นำมาประกอบและยกติดตั้งบนเสาคอนกรีต
การเชื่อมต่อจะใช้ น็อตสกรูเกลียวปล่อยสำหรับโครงสร้างเหล็กบาง หรือการเชื่อมเหล็กเข้ากับเพลท
มีการติดตั้ง คานเหล็ก (Purlins & Girts) เชื่อมต่อระหว่าง Truss เพื่อเสริมความแข็งแรง
ใช้ ค้ำยันชั่วคราว ในระหว่างการติดตั้ง เพื่อป้องกันการเอนหรือบิดตัว
งานจะค่อย ๆ ไล่ไปทีละด้าน เพื่อรักษาสมดุลของแรงกดทับ
หลังคาที่ติดตั้งมีลักษณะเป็นทรงจั่ว (Gable Roof)
ใช้โครงเหล็กเบาสำหรับแป (Battens) เรียงเต็มพื้นที่ เพื่อรองรับการมุงกระเบื้องหรือเมทัลชีท
มุมเอียงและแนวเส้นจันทันถูกจัดให้อยู่ในแนวเดียวกัน เพื่อให้หลังคาออกมาตรงและรับน้ำหนักได้ดี
ช่างบางคนขึ้นไปทำงานบนโครงหลังคา ซึ่งต้องใช้เชือกนิรภัยหรือ Harness เพื่อป้องกันการตกจากที่สูง
หลังจากติดตั้งเสร็จ จะต้องตรวจสอบแนว ระยะ และความแข็งแรงของการเชื่อมต่อทั้งหมด ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนมุงหลังคา
อัพเดทเมื่อวันที่ 30.09.2568
ขั้นตอนงานก่อผนัง
ในภาพนี้เป็นขั้นตอนก่อผนังด้วย อิฐมวลเบา (Lightweight Block) ซึ่งมีคุณสมบัติเด่น
คือ น้ำหนักเบากว่าอิฐมอญทั่วไปประมาณ 2–3 เท่า
เป็นฉนวนกันความร้อน ช่วยให้บ้านเย็นขึ้น ผิวเรียบ ทำให้งานฉาบบางและเรียบเนียน
ดูดซึมน้ำน้อยกว่า จึงลดปัญหาผนังชื้น ก่อนเริ่มก่อช่างจะตีแนวระดับและเว้นช่องสำหรับคานทับหลัง
รวมถึงเสริมเหล็กแนวรอบบ้านเพื่อช่วยยึดผนังให้แข็งแรงไม่แตกร้าว
อัพเดทเมื่อวันที่ 31.10.2568